เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ศาลากลางจังหวัดเลย นายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย พร้อมด้วยนายปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย และนายบุญเทิน จันทะมาตย์ สาธารณสุขอำเภอเมือเลย ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดเลยยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย และจากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อ ยกครัวจากคนงานแคมป์อิตาเลียนไทย พบติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย 2 ราย รวมจังหวัดเลยพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 ในระลอกของเมษายน มีผู้ป่วยสะสม 96 ราย รักษาหายแล้ว 86 ราย ยังรักษาอยู่ 9 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
นายปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย ได้เผยว่า พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มอีก 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยรายที่ 96 เป็นชาย อายุ 62 ปี อยู่บ้านโนนผาพุงพัฒนา ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย อาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสามีของผู้ป่วยรายที่ 89 เป็นบิดาของผู้ป่วยรายที่ 90 มีประวัติเสี่ยงไปขายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ กทม.
และในวันนี้ได้พบผู้ป่วยสายพันธุ์อินเดียเป็นครั้งแรกในจังหวัดเลย ซึ่งเป็นผู้ป่วยรายที่ 79 หญิงไทย อายุ 24 ปี อาชีพแม่บ้าน และผู้ป่วยรายที่ 85 เป็นเด็กหญิง อายุ 2 เดือน เป็นลูกสาวผู้ป่วยรายที่ 79 ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเชื้อจากแคมป์งานก่อสร้างบริษัทอิตาเลี่ยนไทย อยู่บ้านหนองทุ่ม ต.นาดินดำ อ.เมืองเลย โดยเป็นการสุ่มตรวจจากกลุ่มที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ที่ได้เดินทางกลับมาจังหวัดเลย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และขณะนี้ผู้ป่วยรายที่ 79 และ 85 ทั้ง 2 ได้รับการรักษาหายแล้ว ซึ่งผู้ป่วยในครอบครัวนี้ติดเชื้อทั้งหมด 5 ราย รายล่าสุดกลับบ้านไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 แม้ผู้ป่วยของครอบครัวนี้จะกลับบ้านได้ แต่เจ้าหน้าที่ยังคงเฝ้าให้สังเกตอาการ และให้กักตัวอยู่ที่บ้านอีก 14 วัน แม้กระบวนการการสอบสวนโรค จะได้ดำเนินการเสร็จแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายบุญเทิน จันทมาตย์ สาธารณสุขอำเภอเมืองเลย กล่าวว่า หลังจากที่สุ่มตรวจพบสายพันธุ์อินเดีย ที่มาจากคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง ที่หลักสี่ กรุงเทพฯ และได้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เข้ามาจังหวัดเลยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 64 ได้พบเชื้อวันที่ 14 พฤษภาคม และจากการสุ่มตรวจเชื้อพบว่าเป็นสายพันธุ์อินเดีย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 64 แต่ในพื้นที่ได้ดำเนินการเข้าควบคุมโดยให้ทีมสอบสวนโรคได้ออกปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมาโดยใช้หลักการทำงานค้นให้เร็ว รีบแยกผู้ป่วยมารักษา และค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงให้เพิ่มมากขึ้น โดยภาพรวมการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงของผู้ป่วยในครอบครัวเดียวกันทั้ง 5 ราย ได้เดินทางโดยรถยนต์คันเดียวกัน และว่าพบว่ามีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 13 ราย รวม 26 ราย
