เมื่อวันที่ 13 มกราคม 64 ที่ห้องประชุมศรีสองรัก ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดเลย นายชัยธวัช เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานการประชุมร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเลย และคณะกรรมการศูนย์บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดเลย เพื่อติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 ซึ่งจังหวัดเลยได้วางเป้าหมายในการเฝ้าระวัง ควบคุมโรคกลุ่มเสี่ยง จำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. แรงงานเมียนมา 2. ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เสี่ยงและกิจกรรมเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค 3. ผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย 4. ผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลในตลาด 5. บุคคลและครอบครัวของผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด
โดยนายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย ได้เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 จังหวัดเลย ระลอกใหม่ ได้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 6 ราย กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 1 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดเลย ดีขึ้นตามลำดับ มีค้นหาเชิงรุก (Active Case Finding) อย่างต่อเนื่อง
ในทางด้านกลุ่มเสี่ยงที่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ในพื้นที่อำเภอภูเรือ ที่มีกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า ทั้งในงานเทศกาลศิลปะ สายหมอกและดอกไม้ และผู้ประกอบการร้านอาหารในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอภูเรือ จำนวน 42 ราย ไม่พบเชื้อทั้ง 42 ราย ส่วนพ่อค้า แม่ค้า และการตรวจสุ่มนักท่องเที่ยว ถนนคนเดินเชียงคาน และสกายวอล์ค ก็ได้มีการส่งตรวจหาเชื้อ จำนวน 63 ราย ไม่พบเชื้อทั้ง 63 ราย เช่นเดียวกัน จึงยืนยันว่าสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอภูเรือ อำเภอเชียงคาน มีความปลอดภัย
และในส่วนของครอบครัวผู้ติดเชื้อผู้ค้าลอตเตอรี่ จากอำเภอภูกระดึง ได้ตรวจหาเชื้อผู้ใกล้และตามไทม์ไลน์ ผลออกมาทั้งหมดทุกรายแล้ว ไม่พบเชื้อแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม 5 ทหารเสือ ยังทำการค้นหาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าหากพ้นวันที่ 17 มกราคม 2564 นี้ไป ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาในการฟักเชื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ เท่ากับว่าจังหวัดเลย จะสามารถหยุดวงจรกลุ่มเสี่ยงได้ทั้งหมด
ส่วนการค้นหาเคสเชิงรุก ปัจจุบันจังหวัดเลยได้ตั้งเป้าตรวจหากลุ่มเสี่ยงทั้ง 5 กลุ่มมีเป้าหมาย 3,000 ราย ขณะนี้เราตรวจไปแล้ว 1,822 ราย คิดเป็นร้อยละ 60 ซึ่งยังเหลือกลุ่มผู้ค้าลอตเตอรี่รายย่อย ที่จะเดินทางกลับมารอบที่สอง และอีกกลุ่มคือผู้ค้าสลากในตลาดนัดลอตเตอรี่ หากดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้ง 3,000 ราย